ราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน (Indian Laburnum) ถือเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย และเป็น ไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมปลูกมากตามสถานที่ราชการต่างๆ เนื่องจากให้ดอกเป็นช่อใหญ่สีเหลืองสวยงาม นอกจากนั้น ยังเป็นไม้ที่มีสรรพคุณทางยาหลายประการ อาทิ ใช้รักษาท้องร่วง ใช้เป็นยาระบาย ใช้รักษาแผล แผลติดเชื้อ แผลในปาก และรักษาสุขภาพฟัน เป็นต้น
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula Linn.
• วงศ์ : Caesalpiniaceae
• ชื่อสามัญ :
– Indian Laburnum
– Pudding-pipe Tree
– Golden Shower
• ชื่อท้องถิ่น
– ชัยพฤกษ์ ราชพริก คูน (ภาคกลาง)
– คูน (อีสาน)
– ชัยพฤกษ์ ลักเคย, ลักเกลือ (ใต้)
– ชัยพฤกษ์ คูน ลมแล้ง (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1. ราก และลำต้น
ราชพฤกษ์เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูงประมาณ 10-20 เมตร เปลือกต้นอ่อนมีลักษณะเรียบ สีเทาแกมเขียว ต้นที่มีอายุมากเปลือกแตกสะเก็ดเป็นสี่เหลี่ยม สีน้ำตาล ต้นเล็กแตกกิ่งในระดับล่าง เมื่อต้นใหญ่ลำต้นสูง แตกกิ่งมากบริเวณส่วนยอด
ระบบราก เป็นระบบรากแก้ว และแตกออกเป็นรากแขนงยั่งลึกได้มากกว่า 2 เมตร
2. ใบ
ใบประกอบแบบขนนก ประกอบด้วยก้านใบหลัก ยาวประมาณ 20-30 ซม. แต่ละก้านใบหลักประกอบด้วยใบย่อย ออกเป็นคู่เรียงสลับตรงข้าม และเยื้องกันเล็กน้อย ใบย่อยแต่ละก้านมีประมาณ 3-8 คู่ ใบย่อยมีก้านใบยาวประมาณ 5-10 ซม. แต่ละใบมีรูปทรงรี แกม รูปไข่ โคนใบมน ปลายใบแหลมสอบ มีสีเขียวอ่อน และค่อยๆเข้มขึ้นจนเขียวสด ใบกว้างประมาณ 5-10 ซม. ยาวประมาณ 7-15 ซม. ใบคู่แรกๆมีขนาดเล็ก และใหญ่ขึ้นในคู่ถัดไป ใบส่วนปลายมีขนาดใหญ่สุด ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านล่างมีขน
3. ดอก
ดอกออกเป็นช่อ แทงออกตามกิ่งก้าน ช่อห้อยลงด้านล่าง ช่อดอกโปร่งยาวสีเหลือง ยาวประมาณ 20-40 ซม. แต่ละก้านดอกประกอบด้วยดอกจำนวนมาก แต่ละดอกมีก้านดอกสั้น ยาว 1-3 ซม. มีใบประดับใต้กลีบดอก กลีบดอกมีสีเหลืองประมาณ 5 กลีบ รูปรีหรือกลม ด้านในประกอบด้วยเกสร เพศผู้ 10 อัน มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รังไข่รูปขอบขนาน มีขน อับเรณูยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ดอกจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
4. ผล
ผล มีลักษณะเป็นฝักยาว ทรงกลม ยาวได้มากถึง 60 ซม. ผิวฝักเกลี้ยง ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่มีสีน้ำตาล น้ำตาลดำ และดำ ตามอายุของฝัก เมล็ดมีลักษณะแบน รูปกลมรี สีน้ำตาลถึงดำ เรียงเป็นชั้นๆ มีผนังกั้นจำนวนมาก ฝักแก่จะยังติดห้อยที่ต้น และจะร่วงประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม
สารสำคัญที่พบ
1. ฝัก
• protein
• carbohydrate
• calcium
• glucose
• alkaloids
• anthraquinone
• gkutin
• pectins
• oxalates
• flavonoid
• aloe emodin
• galactomannan
• kaempferol
• luteolin
• emodin
• Phenylalanine
• Tryptophan
• Triacontyl alcohol (Triacontan-1-ol)
• n-Triacontan-1,30-diol
• n-Triacontyl lignocerate
• สารในกลุ่ม proanthocyanidin
-catechin
-epicatechin
-procyanidin
-epiafzelechin
• สารกลุ่ม anthraquinone
-rhein
-hydroxymethyanthraquinone
-sennoside A, B
-aloin
-barbaloin
-amino acid
-aspartic acid
-glutamic acid
-n-Butyric acid
-formic acid
-fistulic acid
-lysine
2. เมล็ด
• protein
• carbohydrate ในรูปของ galactomannan
• fat
• fiber
• fixed oil
• hydrocyanic acid
• chrysophanol
• phospholipids ของ cephalin และ lecithin
• Arginine
• Leucine
• Methionine
3. ใบ
• tannin
• steroid
• volatile oil
• hydrocyanic acid
• saponin
• triterpenoid
• rhein
• rheinglucoside
• sennoside A, B
• anthraquinones
• chrysophanol
• physcion
• phenolics หลักๆที่พบ คือ flavonoid และ proanthocyanidin ได้แก่
-epicatechin
-procyanidin
-epiafzelechin
4. ดอก
• ceryl alcohol
• kaempferol
• rhein
• phenolics หลักๆที่พบ คือ flavonoid และ proanthocyanidin ได้แก่
-epicatechin
-procyanidin
-epiafzelechin
• alkaloids
• triterpenes
• bianthroquinone glycoside
• fistulin
• rhamnose
5. เปลือกราก
• flovefin
• tannin
• phlobephenes
• สารประกอบของ oxyanthraquinone ได้แก่
-emodin
-chrysophanic acid
-fistuacacidin
-barbaloin
-rhein
6. เปลือก แก่น และกิ่ง
• แก่น Fistucacidin ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม leucoanthocyanidin
• เปลือกไม้ ประกอบด้วย tannin, lupeol, β – sitosterol และ hexacosanol
• กิ่ง พบสาร rhamnetin
sennoside A,B เป็นสารในกลุ่ม anthraquinone ประกอบด้วยหมู่ rhein 2 หมู่เชื่อมติดกัน โดยมีน้ำตาลกลูโคสมาเกาะ 2 โมเลกุล สาร sennoside A,B สามารถพบในพืชชนิดอื่น เช่น รากของโกษฐ์น้ำเต้า ใบ และฝักมะขามแขก ส่วนในต้นคูนพบได้ในส่วนราก ลำต้น ใบ และฝัก พบมากที่สุดในส่วนใบ
รวบรวมจาก : สุนทรี, 2535(5), ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร,2546(6), (Bahorun et al., 2005)(7), (India’s Health Portal, Nodate)(8), (World Agroforestry Center, Nodate)(9)
สรรพคุณราชพฤกษ์/ต้นคูน
1. ดอก
– มีสารที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ(1)
– มีสารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ เช่น เชื้อที่ก่อการอักเสบของหูชั้นนอก(2)(3)
– สารสกัดจากดอกมีฤทธิ์การต่อต้านเชื้อรา(4)
– ดอกนำมาต้มรับประทานมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน
– สารสกัดจากดอกราชพฤกษ์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และความกระชับของผิว(1)
2. ราก เปลือก และแก่น
– ราก นำมาต้มรับประทาน ใช้ลดไข้ รักษาโรคในถุงน้ำดี
– ราก นำมาฝนทารักษากลาก เกลื้อน และโรคผิวหนังต่างๆ
– ราก เปลือก และแก่น นำมาต้มใช้ล้างบาดแผล ต้านเชื้อแบคทีเรีย รักษาแผลติดเชื้อ แผลอักเสบ
– ราก เปลือก และแก่น นำมาต้มรับประทาน ใช้เป็นยาระบาย
– ราก เปลือก และแก่น นำมาต้มใส่เหลือเล็กน้อยรับประทาน ใช้แก้ท้องผูก ท้องเสีย
– เปลือกนำมาบดผสมน้ำใช้ทาหรือต้มน้ำอาบ สำหรับรักษาฝี รักษาโรคผิวหนัง ต้านเชื้อแบคทีเรีย
– แก่น นำมาต้มรับปรานใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
3. ใบ และดอก
– กินสดหรือต้มน้ำรับประทาน ใช้เป็นยาระบาย
– กินสดหรือต้มน้ำรับประทาน ใช้ต้านอนุมูลอิสระ
– กินสดหรือต้มน้ำรับประทาน ใช้ต้านรักษาโรคเบาหวาน บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ลดอัตราเสี่ยงของโรคระบบหัวใจ และหลอดเลือด
– กินสดหรือต้มน้ำรับประทาน ใช้เป็นยาระบาย
– นำมาบด ใช้ทาผิวหนัง ใช้ทาแผล ต้านเชื้อแบคทีเรีย
4. ฝัก
– เนื้อฝัก นำมาต้มรับประทาน ใช้เป็นยาระบาย ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของลำไส้
– น้ำต้มจากฝัก รับประทานแก้บรรเทาอาหารจุกเสียดแน่นท้อง
รวบรวมจาก : ชลธิชา(1), นักรบ, 2552(3), ภัสสร์พัณณ์, 2549(4)
สารออกฤทธิ์
• สารคาร์ทามีดีน (carthamidine) ของดอกที่ให้สีเหลือง มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ป้อกงัน และรักษาโรคเบาหวาน
• สารคาร์ทามีดีน (carthamidine) ของดอก มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิว ต้านการเสื่อมของเซลล์
• สารแคโรทีนอยด์ หลายชนิดในใบ และดอกออกฤทธิ์รวมกันหลายด้าน อาทิ
– ต้านการเสื่อมสภาพของเซลล์ ป้องกันผิวจากอันตรายของแสง ป้องกันผิวเหี่ยวย่น
– ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาอักเสบ โรคต้อกระจก และช่วยให้มองเห็นได้ดีในตอนกลางคืน
– ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกัน และลดอาการภูมิแพ้
– บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด
– ต้านเซลล์มะเร็ง
• สารในกลุ่ม saponin มีคุณสมบัติเป็นสารลดแรงตึงผิว มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขยายหลอดลม แต่มีผลข้างเคียงทำให้เม็ดเลือดแตกตัว
• สาร anthraquinones ที่พบในใบ และฝัก มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ใช้เป็นยาระบาย ใช้ฆ่าเชื้อ
• สารในกลุ่ม flavonoid ที่พบในใบ ดอก และฝัก หลายชนิดออกฤทธิ์รวมกัน ต้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ช่วยขยายหลอดลม ช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรง รักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก
• สารแทนนิน (tannin)ที่พบในเปลือก และแก่น มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาอาการท้องร่วง นอกจากนั้น เมื่อเข้าสู่ลำไส้จะกับโปรตีนในเยื่อบุ ช่วยลดการอักเสบ ต้านการสูญเสียน้ำ ช่วยดูดซึมน้ำกลับ แต่มีผลทำให้อาหารไม่ย่อย ทำให้ท้องอืด
• สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ในใบนำมาต้มน้ำดื่มออกฤทธิ์หลายด้าน อาทิ
– ประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดที่ให้พลังงานแก่ร่ากงาย
– ป้องกันโรคโลหิตจาง
– ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดอาการภูมิแพ้
– เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ตับถูกทำลาย ป้องกันการเสื่อม และชลอเซลล์เสื่อมสภาพ ป้องกันผิวหนังเหี่ยวย่น
– ต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาแผล แผลติดเชื้อ
– ต้านเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้
– รักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร
– ช่วยดูดซึมสารอาหาร และแร่ธาตุเข้าสู่หลอดเลือด
ประโยชน์ราชพฤกษ์/ต้นคูน
1. คูนเป็นพืชมีดอกสีเหลืองสวยงาม ใช้ปลูกเป็นไม้ต้นประดับ และดอกประดับ เวลาออกดอกจะไม่มีใบ ออกดอกเต็มทั่วต้น
2. หลังผลิใบใหม่ คูนจะมีใบสีเขียวเต็มทั่วต้น ใช้ปลูกให้ร่มเงาตามบ้านเรือน สถานที่ราชการต่างๆ
3. แก่นคูนมีรสฝาด สับเป็นชื้นเล็ก ใช้ผสมเครื่องเคี้ยวหมาก หรือบดให้ละเอียดใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังต่างๆ ใช้ทาประคบแผลรักษาแผล
4. ฝักคูณนำมาสกัดใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลง ฆ่าหนอนกินผัก โดย นักรบ เจริญสุข, 2552(3) ได้ศึกษาสารสกัดจากฝักคูณในการป้องกันหนอนกระทู้ในผักคะน้า พบว่า สารสกัดจากฝักคูนสามารถป้องกันการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ได้
5. ฝัก นำมาสกัดใช้เป็นส่วนผสมของสารฟอกหนัง ได้แก่ สารแทนนินที่ใช้สำหรับตกตะกอนโปรตีน
6. เมล็ดใช้สกัดเอายางเหนียวสำหรับเป็นส่วนผสมของกาวในอุตสาหกรรมยา
7. ลำต้น ใช้ทำไม้ก่อสร้าง ไม้เสา ไม้ค้ำยัน
8. เนื้อไม้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ชนิดต่างๆ
9. ไม้ และกิ่ง ใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหารในครัวเรือน
10. ใบอ่อน ยอดอ่อน และดอกใช้เป็นส่วนผสมหรือใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะดอกใช้เป็นอาหารสัตว์สำหรับกระตุ้นให้เนื้อมีสีเข้มมากขึ้น
การปลูกราชพฤกษ์
การปลูกราชพฤกษ์นิยมปลูกด้วยเมล็ด รองลงมา คือ การปักชำกิ่ง ซึ่งการปักชำกิ่งจะได้ต้นใหม่ที่ลำต้นไม่ใหญ่ สูง ออกดอกเร็ว แต่วิธีนี้มีการชำติดยาก หากดูแลไม่ดี และระยะการชำติดนาน
สำหรับการ ปลูกด้วยเมล็ด จะใช้เมล็ดจากฝักแก่ที่ร่วงจากต้นหรือติดบนต้นที่มีลักษณะเปลือกฝักสีน้ำตาล จนถึง ดำ สามารถเก็บได้ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม นำมาทุบเปลือก และแกะเมล็ดออก ลักษณะเมล็ดพันะธุ์ที่ดีควรเก็บจากต้นที่มีลำต้นตรง สูงใหญ่ ไม่มีโรค ฝักไม่รอยกัดแทะของแมลง ฝักอวบหนา เป็นมันเงา เมล็ดใน 1 กิโลกรัม จะได้เมล็ดประมาณ 7,400 เมล็ด
เนื่องจากเมล็ดมีเปลือกหนา หากต้องการกระตุ้นการงอกที่เร็ว ให้ใช้วิธี ดังนี้
– ให้นำเมล็ดมาแช่ในกรดกำมะถันเข้มข้น เป็นเวลา 45-60 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาด
– เฉือนเปลือกออกเล็กน้อย
– นำไปแช่ในน้ำเดือด นาน 2-3 นาที นำออกทิ้งไว้ให้เย็น
การเพาะชำ
1. การเพาะหว่านในแปลงก่อนย้ายใส่ถุงเพาะชำ
ทำโดยการหว่านในแปลงเพาะที่ใช้ดินผสมปุ๋ยคอกกองโรยให้สูง 15-20 ซม. หรือใช้ไม้แผ่นเป็นแบบกั้น เมื่อกองดินสูงได้ระดับหนึ่งแล้วจะหว่านเมล็ดก่อน แล้วใช้ดินโรยปิดหน้าบางๆอีกครั้ง หลังจากนั้น รดน้ำเป็นประจำ ซึ่งต้นอ่อนจะงอกภายใน 15 วัน ทั้งนี้ ควรให้มีระยะห่างของเมล็ดพอควร อย่างน้อยประมาณ 5 ซม. ขึ้นไป
เมื่อกล้าอายุได้ประมาณ 1 เดือน หรือมีความสูงประมาณ 5-7 เซนติเมตร ให้ถอนต้นย้ายไปเพาะในถุงพลาสติกขนาด 4 x 6 นิ้ว และดูแลให้น้ำอีกครั้ง
2. การเพาะในถุงเพาะชำ
การเพาะวิธีนี้ จะทำให้ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายได้กว่าวิธีแรก ด้วยการนำเมล็ดเพาะในถุงพลาสติกได้เลยโดยไม่ผ่านการเพาะในแปลงก่อน ทำให้สามารถย้ายกล้าที่เติบโตแล้วลงแปลงปลูกได้ทันที
การเพาะจะใช้ดิน ผสมกับวัสดุเพาะ เช่น แกลบ ขี้เลื่อย เศษใบไม้ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก อัตราส่วนดินกับวัสดุเพาะที่ 1:1 หรือ 1:2 บรรจุในถุงเพาะพลาสติก หลังจากนั้นนำเมล็ดลงหยอด 1 เมล็ด/ถุง ทำการรดน้ำ และดูแลจนถึงระยะลงแปลงปลูก
การปลูก
ต้นกล้าที่ได้จากการเพาะทั้งสองวิธี จะมีระยะที่เหมาะสมที่ความสูงประมาณ 25-30 ซม. สามารถปลูกในพื้นที่ว่างที่ต้องการ แต่หากปลูกในแปลงที่ใช้กล้าำตั้งแต่ 2 ต้น ขึ้นไป ควรมีระยะห่างระหว่างต้นที่ 4-6 เมตร หรือมากกว่า
ต้นคูนที่ปลูกในช่วง 2-3 ปีแรก จะเติบโตช้า แต่หลังจากนั้นจะเติบโตเร็วขึ้น อายุการออกดอกครั้งแรกประมาณ 4-5 ปี
แมลงศัตรู
1. แมลงกินใบ
ในระยะต้นคูนอายุ 1-3 ปีแรก ในช่วงต้นฤดูฝนต้นคูนจะมีการแตกใบใหม่ที่เป็นใบอ่อน ใบอ่อนนี้จะเป็นอาหารโปรดของแมลงหลายชนิด เช่น หนอนผีเสื้อกินใบคูน (Catopsilia pomona) หนอนผีเสื้อเณร (Eurema spp.) ด้วงค่อมทอง (Hypomeces squamosus) แมงกีนูนดำ และกีนูนแดงซึ่งจะเข้ากัดกินใบอ่อนเสียหายทั้งต้น แต่ทั้งนี้ เป็นการระบาดในบางช่วงเวลาเท่านั้น หลังแพร่ระบาดต้นคูนจะแตกใบใหม่มาแทนที่เหมือนเดิม
2. แมลงเจาะลำต้น
เป็นระยะตัวอ่อนของผีเสื้อในวัยหนอนที่อาศัยอยู่ในแก่นคูน และกัดกินเยื่อไม้เป็นอาหาร ได้แก่ หนอนผีเสื้อเจาะต้นคูน (Xyleutes leuconotus) และหนอนกาแฟสีแดง (Zeuzera coffeae) มักพบในต้นคูนที่มีอายุ 1-3 ปีแรก หากมีจำนวนมากจะสังเกตเห็นต้นคูนมีรูเจาะสีแดงจำนวนมาก และมีน้ำยางไหลออก หากทำลายมากยอดอ่อนจะเหี่ยวแห้ง หรือลำต้นหักโค่นได้ง่าย
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น